วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ซีรี่ใต้หวัน (ต่อ)

ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่อยากจะใช้ชีวิตแบบสบายๆ ไม่รีบร้อน หลังจากเครียดและเหนื่อยหนักมาหลายปีติดต่อกัน จึงเป็นสวรรค์ของความบันเทิงเริงใจ และสมอง สิ่งที่พักผ่อนที่ดีที่สุดก็คืออ่านหนังสือดี ๆ ฟังรายการวิทยุ ที่ดีๆ และดู VCD,DVD ดีๆ นี่แหละคือการพักผ่อนของเรา ตอนนี้แผ่น CD , DVD เหมือนนักสะสมไปทุกวันแล้ง เรียกได้ว่าเต็มทั้งทั้งชั้นวาง นับได้หลายร้อยแผ่นทีเดียว แข่งขับชั้นวางหนังสือที่ท้วมไปด้วยหนังสือเอบทุกประเภท นับพันเล่มทีเดียว เรียกได้ว่า ที่อยู่ของคนน้อยกว่าหนังสือและcd
หนังก็เป็นเรื่องของนางเอกกระโปโล เป็นเด็กมัธยมธรรมดา แถมซุ่มซ่าม เรียนไม่เก่ง หน้าตาบ้านๆ ไปหลงรักพระเอกที่ทั้งหล่อและรวย แถมเก่งทุกอย่าง ทำอาหารก็อร่อย ทั้งที่นางเอกของเรื่องทำไข่เจียวยังกินไม่ลงเลย เป็นไข่เจียวที่อุดมไปด้วยแคลเซียมใส่ทั้งเปลือกเลย พระเอกเป็นอัจฉริยะ มี IQ 200 สอบได้ที่1 ตลอด คือได้ 100 คะแนนเต็ม แต่ชีวิตจริงคงเป็นไปได้ยากที่คนสุดขั้วจะสามารถแต่งงานกันได้  หลังจากแอบรักมาหลายปีในที่สุดก็สามารถแต่งงานกับพระเอกได้ก่อนเรียนจบมหาลัย โดยมีแม่พระเอกคอยลุ้น และให้ความช่วยเหลือ  ข้อคิดในเรื่องนี้ คือ ความสุขที่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรัก และได้ทำเพื่อคนที่เรารัก เพราะฉะนั้นเมื่อรักใครก็ต้องพยายามอย่างที่สุดเพื่อคนที่เรารัก เพื่อให้เขาหันมามองเรา เช่น นางเอกของเรื่องที่เรียนห้องบ๋วยแต่สามารถสอบได้ที่100ติดบอร์ดของโรงเรียนได้ โดยที่พระเอกของเรื่องช่วยติวให้ พระเอกไปเรียนหมอ หัวไม่ดีแต่พยายามจนสอบติดพยาบาล เพื่อจะได้ทำงานที่เดียวกับคนรัก  เป็นต้น  ส่วนข้อ 2 สำหรับพระรองผู้ไม่สมหวัง ข้อคิด. การเสียสละเพื่อความรัก เมื่อรักใครสักคน เราสามารถเสียสละเพื่อให้เธอสมหวังและอยู่กับคนที่เธอรัก การเห็นคนที่รักมีความสุขเราก็มีความสุขด้วย

ซี่รี่ใต้หวัน

หลายวันมานี้ได้ดูซี่รี่ใต้หวัน ดูแล้วก็ไม่เป็นอันทำอะไร ติดจนงอมแงม ตาแฉะไปตามๆกัน ซี่รี่เกาหลีก็ดูบ้างแต่ที่ชอบจะเป็นซี่รี่ใต้หวันมากกว่า รองลงมาก็เป็นซี่รี่ฮ่องกง การได้ดูซี่รี่ใต้หวันก็ทำให้นึกถึงชาวจีนโพ้นทะเลที่มาอาศัยพึ่งใบบุญแผ่นดินไทย ซึ่งเขาถือว่าเป็นแผ่นดินแม่ ต้นตระกูลของผู้เขียนเองซึ่งก็ไม่ไกลมากรุ่นอากง ท่านเดินทางมาจากหมู่บ้านแถบแม่น้ำเหลืองแซ่อึ้ง ซึ่งแปลว่าเหลือง เพราะอยู่หมู่บ้านที่ใกล้กับแม่น้ำฮวงโห  หรือแม่น้ำเหลืองของจีน สืบได้ว่าน่าจะอยู่แถวซัวเถา ใกล้กับเกาะใต้หวัน จังอนุมานได้ว่า ครอบครัวเราจะหน้าตากระเดียดไปเหมือนต่างด้าว (ใต้หวัน) ได้ไปประเทศจีน 2 ครังแต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปแถวซัวเถาซักที ถ้ามีโอกาสดีอยากไปซักครั้งแล้วข้ามเรือไปเที่ยวต่อที่ใต้หวันและบินกลับไทย แหมฝันไปไกลเลย ฝันข้ามน้ำข้ามทะเลเลยทีเดียว เข้าเรื่องซะที ซีรี่ที่ดูคือเรื่อง..แกล้งจุ๊บให้รู้ว่ารัก เป็นหนังรัก โรแมนติก คอมนานดี้ ดูได้แบบสบายๆ พระเอกในท้องเรื่องชื่อ เจียงจื่อซู นางเอกชื่อ เซียงฉิน ตอนนี้มีเป็น dvd จำนวน 15 แผ่นจบ สนุกมาก มีภาค 2 ชื่อเรื่อง..They kiss again เป็นdvd 12 แผ่นจบ สนุกมาก เช่นเดียวกับภาคแรก 

ภาวนาวางอุเบกขา

 เมื่อประมาณปลายเดือนกันยายน ต่อด้วยต้นเดือนตุลาคม 2010 โชคดีมากที่มีโอกาสเข้าวิปัสนา 12 วัน ณ ศูนย์กมลา โดยสอนวปัสนาตามแนวทางของอาจารย์โกเอ็นก้า ซึ่งท่านเป็นชาวอินเดียที่เกิดและโตที่เมืองมัฆเลย์ ประเทศพม่า ท่านเอสเอ็นโกเอ็นก้า มีโอกาสไปเรียนวิปัสนากรรมฐานกับท่านอาจารย์สะยาคี อู บา ขิ่น ซึ่งท่านเป็นข้าราชการระดับสูงของพม่ามีหน้าที่รับผิดชอบในหลายหน่วยงาน เช่น กรมบัญชี ซึ่งก่อนท่านจะไปดูแลมีการทุจริตและรับเงินใต้โต๊ะมาก เมื่อท่านไปดูแลงานเดินไปอย่างรวดเร็วไม่มีงานค้างเลยทุกวัน การบริหารตามแนวของท่านประสบความสำเร็จมากและไม่มีทุจริตอีก รัฐบาลพม่าจึงให้ท่านเพิ่มความรับผิดชอบในอีกหลายหน่วยงานซึ่งท่านก็สามารถทำได้และทำได้ดีด้วย จนรัฐบาลต้องต่ออายุหลังจากท่านเกษียณแล้วหลายต่อหลายครั้ง เมื่อท่านอูบาขิ่น สิ้นชีวิตลง ท่านโอเอ็นก้าจริงสานต่อปนิธานของอาจารย์ ที่กล่าวว่าในอนาคตในปี ค.ศ. 2000 ศาสนาพุทธจะกลับไปเจริญในประเทศอินเดียอีกครั้งหลังจากหายสาบสูญไป ตามคำทำนายของพระพุทธเจ้า
 ปัจุบันท่านอาจารย์โกเอ็นก้าทำหน้าที่เผยแพร่พุทธศาสนามากว่า 30 ปี ทั้งที่เดิมทีเดียวท่านเป็นชาวฮินดูที่เคร่งศาสนา เรียกได้ว่าเป็นระดับผู้นำเลยทีเดียว สาเหตุที่ท่านเข้าหลักสูตรวิปัสนาของอูบาขิ่นเป็นครั้งแรก เพราะเพื่อนของท่านชักชวนท่าน ว่าเมื่อท่านปฏิบัติแล้วจะหายจากอาการคไมเกรนที่ทำให้ท่านทุกข์ทรมานมาก จากการงานที่ท่านทำคือการเป็นเจ้าของธุรกิจซึ่งต้องมีภาระรับผิดชอบมากมาย ตอนนี้เล่าท่านขยายศูนย์วิปัสนาไปแล้วในประเทศต่างๆ ทั่วโลก และมีผู้เข้าอบรมหลักสูตรของท่านหลายล้านคนทั่วโลก

ดิฉันเข้ารับการอบรมหลักสูตร 10 วันของท่าน จริงแล้วก็ 13 วันเต็มๆเลยที่เดียวตัดสินใจอยู่นานเพราะต้องไปยาวซะขนาดนั้นครอบครัวคงด่าขรมแน่แต่สุดท้ายก็เข้าใจให้เราไปเพราะแรงศรัทธาที่มีมาก และทราบว่าถ้าไม่ไปตอนนี้โอกาสดีอย่างนี้คงจะหาได้ยากแน่นอน ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ใหนจึงจะได้ไป ถ้าก่อนหน้านี้คงจะไม่ขอไป เพราะกลัวว่าจะถือศีล 8  ไม่ได้ แต่เมื่อตอนไปหลักสูตรของอาจารย์วัลลภต้องถือศีล 8 ทานมังสาวิรัติ ก็รู้สึกว่าชอบ ความจริงถือศีล 8 เราก็ทำได้ไม่ใช่เรื่องยาก ส่วนเรื่องการห้ามพูดเคยปฏิบัติมาแล้วตอนคอร์สของคุณแม่สิริ แต่ผลปรากฏว่า โฮๆๆๆๆ ไม่ใช่เรื่องหมูเลยแต่เป็นงานใหญ่กว่าช้างเรียกได้ว่าเป็นงานแมมมอสมากกว่า นั่งวิปัสนาอย่างเดียวไม่ให้เดินจงกลม ตั้งแต่ตี 4 ถึง 3 ทุ่ม อะไรจะนั่งนานปานนั้นเราไม่เคยนั่งติดต่อกันได้เป็นชัวโมงเลย เอ๊าให้เต็มที่ ครึ่งชั่วโมงแต่นี่ 2 ชั่วโมง อย่าว่าแต่ผู้เขียนเลย ไผล่ล่ะจะทำได้ แต่สุดท้ายก็สามารถทำได้ รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมาก  ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าให้นั่งเฉยโดยไม่กระดุกกระดิก ไม่เขยื้อนมือและขา เป็นเวลา 1-2 ชั่วโมงเราก็ทำได้ ไม่ได้โม้ (ทำได้ดีด้วย) เริ่มจากการทำอานาปานสติ รู้ลมหายใจเข้า/ออก รู้ที่ฐานจมูก รู้ในโพรงจมูก วันต่อมารู้เฉพาะที่ปลายจมูกตรงที่ลมกระทบเท่านั้น และรู้อย่างต่อเนื่องไปอย่างนั้น วันต่อๆมา ให้รู้ตัวทั่วพร้อม รู้ตั้งแต่หัวจดขารู้ตลอดทุกตารางนิ้งไม่ให้เล็ดลอด ซักบริเวณ ทำอยู่อย่างนี้ซำแล้วซ้ำเล่า โอโหมันช่างวิเศษจริงๆ เกิดอาการขนลุกซู๋ซ่าทั้งที่อากาศตอนนั้นร้อน ตรงบริเวณที่เจ็บปวดทรมานกลายเป็นแค่อาการเต้นตุบๆ แล้วหายไป ช่วงที่ทรมารที่สุด ช่วงแรกรู้สึกเจ็บปวดที่คอเหมือนคอจะหักให้ได้ ต่อมาเจ็บไหล่สองข้างเหมือนจะหลุดมากองที่พื้น ที่สุดๆไปเลย ขาสองข้างเจ็บปวดแทบขาดใจตายตรงนั้นเลย แต่ก็อธิฐานจิตเลยว่าขาหักตรงนี้ก็ยอมตัวเราจะไม่ผ่ายแพ้ต่อกิเลสแม้นขาจะหักหรือจะขาดใจตายตรงนี้ก็ยอม(ตายในห้องวิปัสนาได้บุญ) สุดท้ายก็ผ่านพ้นไปได้ ขณะนั้นรู้สึกแต่อาการเท่านั้นไม่เห็นว่าเรามีตัวตนมันเบาๆ รู้แต่อาการแสดงของธาตุต่างๆ พอผ่านพ้นการปฏิบัติครั้งนี้รู้สึกดีมากๆ อยากจะปฏิบัติตลอดไป และอยากมาปฏิบัติอีก ถ้าหาโอกาสเหมาะได้
ชีวิตที่ออกมาจากกระแสธรรมที่เย็นฉ่ำชื่นใจ น่าเสียดายเหลือเกิน ในรู้สึกเช่นนั้น เมื่อต้องออกมาดิ้นรนภายนอกกิเลสก็เพิ่มพูนขึ้นอีก แม้นว่าการปฏิบัติจะช่วยเผาผลาญกิเลสให้เบาบางลงได้บาง แต่ทุกๆวันก็มีการสะสมกิเลสเพิ่มเติมเข้าไปใหม่โดยรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง แล้วเมื่ใหร่ล่ะจึงจะรู้ทันกิเลสเสียที เมื่อใหร่ละเราจะหลุดพ้นจากกองทุกข์เสียที  ขอให้ทุกท่านจงหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงหลุดพ้นจากความทุกข์

ดูตามความจริง รู้ตามความจริง


อีกครั้ง  เมื่อเดือนกันยายน 2010 ที่ผ่านมา รู้สึกว่ากิเลสในจิตใจเริ่มพอกพูนจึงลองโทรไปสมัครปฏิบัติธรรมที่วัดผาณิตารามอีกครั้ง ปรากฏว่าเติมทั้งปี จึงลองเช็คดูทราบว่ามีคอร์สของคุณแม่สิริ ใกล้บ้านนี่เอง อยู่ที่ชลบุรี วัดเขาพุทธโคดม จึงลองโทรไปสมัครดู ปรากฏว่ามีพระอาจารย์มารับสายและบอกว่าให้มาได้เลยตามวันที่เราต้องการ (ล็อกวันไว้แล้ว 8 วัน) แต่เมื่อไปถึงปรากฏว่าเป็นคอร์ส 4 วัน แต่ก็ลองดู จึงรู้ว่าเป็นคอร์สวิปัสนาโดยปรมัติ ของอ.วัลลภ (อ.ธรรมดี) หรือนามปากกา นวองคุลี ท่านสามารถอธิบายธรรมะให้เข้าใจได้ง่าย และเป็นรูปธรรม ดีจริงๆ โดยเฉพาะทำให้เราเข้าใจในเรื่องของปรมัติ (รูป  นาม  เวทนา) ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผู้ที่ยังห่างไกลธรรมะ อย่างเรา เช่น รู้อาการของธาตุดิน (แข็ง อ่อนนุ่ม หนัก เบา) อาการธาตุดิน (เย็น ร้อน) อาการธาตุลม (ไหว ตึง ) เป็นต้น 

ธรรม=ธรรมดา

 
ครั้งหนึ่งเมื่อ 2-3 ปีก่อน  ผู้เขียนมีโอกาสได้ไปปฏิบัติธรรมในหลักสูตรพัฒนาจิตฯ 7 วัน ที่วัดผาณิตาราม  จังหวัดฉะเชิงเทรา นับเป็นโอกาสดีครั้งหนึ่งในชีวิต ทั้งที่เคยคิดว่าคนอย่างเราคงไม่คิดจะไปเข้าวัดปฏิบัติธรรม เคยคิดแบบผิดๆว่า มีแต่คนว่างงาน คนอกหัก คนแก่ คนใกล้บ้า คนมีปัญหาชีวิต จึงจะเข้าวัดปฏิบัติธรรม พอได้ปฏิบัติธรรมในครั้งนั้น รู้ได้เลยว่า รสของพระธรรมนั้นช่างหอมหวานในเบื้องต้น ในท่ามกลาง และในที่สุด เสียงของพระธรรมนั้น ไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง และไพเราะในที่สุด ช่างเป็นจริงอย่างแท้และแน่นอนที่สุด สาเหตุที่ไปปฏิบัติธรรม เนื่องจากมีคนรู้จักแนะนำว่า ถ้าเด็กได้ไปปฏิบัติแล้วจะฉลาด เรียนเก่ง ความจำดี ไม่เป็นสมธิสั้น ดังนั้น จึงคิดว่าถ้าลูกเราลองไปปฏิบัติธรรมน่าจะดี แต่ที่นี่มีกฏว่าใครจะส่งลูกมาปฏิบัติธรรมพ่อหรือแม่ต้องมาปฏิบัติก่อนจึงจะรับลูก จึงลองสมัครดูทาง เว็ปไซด์คนดีดอตคอม พอดีเป็นช่วงวันเกิดผู้เขียนพอดี แต่ปรากฏว่าเต็มไปตั้งนานแล้ว แต่ขอเป็นตัวสำรองไว้ ผลปรากฏว่าใกล้วันปฏิบัติได้เลื่อนเป็นตัวจริง แต่ปรากฏว่าช่วงนั้นงานเข้า คงไม่สามารถไปได้ จึงขอให้สามีมาช่วยดูแลฟาร์มแทน สามีก็ไม่ว่างมีงานเข้าเหมือนกันที่พัทยา ในที่สุดก็ตัดสินใจทิ้งงาน ไปปฏิบัติธรรมเพราะเห็นว่าลูกสำคัญกว่างาน ระหว่าทางก็โดนสามีบ่นซะเป็นกระบุงเพราะว่าเราคิดผิดที่เลือกมาปฏิบัติธรรมแทนที่จะทำงาน  เพราะงานคือเงิน งานเสีย เงินเสีย ด้วย แต่ก็ทนฟังไปจนถึงวัดไปยอมเปลี่ยนใจย้อนรถกลับ เพราะที่นี่มีกฏว่าถ้ายืนยันแล้วเปลี่ยนใจไม่ได้คราวหน้าจะถูกตัดสิทธิ์ไม่ได้รับการพิจารณาอีก                           
 พอเริ่มปฏิบัติถือศีล 5 ทานอาหารมังสาวิรัติ ไม่พูดกัน ถืออาชีวะมะกะศีล (อาชีพสุจริต) เดิมไม่ได้ทำอาชีพสุจริตตามหลักพุทธศาสนา แม้นว่าจะสุจริตตามกฏหมายก็ตาม คือเดิมที่ทำฟาร์มไก่ไข่ หมดอายุไข่ก็ส่งไปขายให้โรงเชือด 3 วันแรกก็แสนจะหวุดหงิดอยากกลับบ้าน แต่ก็ต้องทนเพราะโดนยึดทั้งกุญแจรถและกระเป๋าเงิน รวมทั้งโทรศัพท์มือถือ เรียบอาวุธหมด แต่เมื่อฟังธรรมะดีๆ ทั้งเรื่องของกรรม เรื่องของภพภูมิ เรื่องพระคุณแม่ ต่างๆ มากมายทำให้จิตใจสงบและมีกำลังใจในการปฏิบัติจนลุล่วง แต่ถ้าถามว่าจะมาปฏิบัติอีกหรือเปล่าบอกเลยว่าไม่แน่ใจ  แต่ก็เหมาเทปธรรมะมาทุกชุด  ซื้อ vcd มาดูมาดูที่บ้านทุกชุด  อีก 1 ชุด ซื้อมาฝากญาติผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติธรรมต่อมา เช่น จิตรู้ว่าตอนนี้โกรธอยู่ ตอนนี้โลภอยู่  ตอนนี้หลงอยู่ แต่ก็ทำอันใดไม่ได้  ห้ามไม่ได้ เพราะยังอ่อนในเรื่องการปฏิบัติ  ก็เลยเน้นการให้ทาน การทำบุญ การถือศีล เป็นหลัก  แต่นั่งสมาธิไม่ได้ทำ ทำให้กิเลสภายในไม่ได้ลดลง