เมื่อประมาณปลายเดือนกันยายน ต่อด้วยต้นเดือนตุลาคม 2010 โชคดีมากที่มีโอกาสเข้าวิปัสนา 12 วัน ณ ศูนย์กมลา โดยสอนวปัสนาตามแนวทางของอาจารย์โกเอ็นก้า ซึ่งท่านเป็นชาวอินเดียที่เกิดและโตที่เมืองมัฆเลย์ ประเทศพม่า ท่านเอสเอ็นโกเอ็นก้า มีโอกาสไปเรียนวิปัสนากรรมฐานกับท่านอาจารย์สะยาคี อู บา ขิ่น ซึ่งท่านเป็นข้าราชการระดับสูงของพม่ามีหน้าที่รับผิดชอบในหลายหน่วยงาน เช่น กรมบัญชี ซึ่งก่อนท่านจะไปดูแลมีการทุจริตและรับเงินใต้โต๊ะมาก เมื่อท่านไปดูแลงานเดินไปอย่างรวดเร็วไม่มีงานค้างเลยทุกวัน การบริหารตามแนวของท่านประสบความสำเร็จมากและไม่มีทุจริตอีก รัฐบาลพม่าจึงให้ท่านเพิ่มความรับผิดชอบในอีกหลายหน่วยงานซึ่งท่านก็สามารถทำได้และทำได้ดีด้วย จนรัฐบาลต้องต่ออายุหลังจากท่านเกษียณแล้วหลายต่อหลายครั้ง เมื่อท่านอูบาขิ่น สิ้นชีวิตลง ท่านโอเอ็นก้าจริงสานต่อปนิธานของอาจารย์ ที่กล่าวว่าในอนาคตในปี ค.ศ. 2000 ศาสนาพุทธจะกลับไปเจริญในประเทศอินเดียอีกครั้งหลังจากหายสาบสูญไป ตามคำทำนายของพระพุทธเจ้า
ปัจุบันท่านอาจารย์โกเอ็นก้าทำหน้าที่เผยแพร่พุทธศาสนามากว่า 30 ปี ทั้งที่เดิมทีเดียวท่านเป็นชาวฮินดูที่เคร่งศาสนา เรียกได้ว่าเป็นระดับผู้นำเลยทีเดียว สาเหตุที่ท่านเข้าหลักสูตรวิปัสนาของอูบาขิ่นเป็นครั้งแรก เพราะเพื่อนของท่านชักชวนท่าน ว่าเมื่อท่านปฏิบัติแล้วจะหายจากอาการคไมเกรนที่ทำให้ท่านทุกข์ทรมานมาก จากการงานที่ท่านทำคือการเป็นเจ้าของธุรกิจซึ่งต้องมีภาระรับผิดชอบมากมาย ตอนนี้เล่าท่านขยายศูนย์วิปัสนาไปแล้วในประเทศต่างๆ ทั่วโลก และมีผู้เข้าอบรมหลักสูตรของท่านหลายล้านคนทั่วโลก
ดิฉันเข้ารับการอบรมหลักสูตร 10 วันของท่าน จริงแล้วก็ 13 วันเต็มๆเลยที่เดียวตัดสินใจอยู่นานเพราะต้องไปยาวซะขนาดนั้นครอบครัวคงด่าขรมแน่แต่สุดท้ายก็เข้าใจให้เราไปเพราะแรงศรัทธาที่มีมาก และทราบว่าถ้าไม่ไปตอนนี้โอกาสดีอย่างนี้คงจะหาได้ยากแน่นอน ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ใหนจึงจะได้ไป ถ้าก่อนหน้านี้คงจะไม่ขอไป เพราะกลัวว่าจะถือศีล 8 ไม่ได้ แต่เมื่อตอนไปหลักสูตรของอาจารย์วัลลภต้องถือศีล 8 ทานมังสาวิรัติ ก็รู้สึกว่าชอบ ความจริงถือศีล 8 เราก็ทำได้ไม่ใช่เรื่องยาก ส่วนเรื่องการห้ามพูดเคยปฏิบัติมาแล้วตอนคอร์สของคุณแม่สิริ แต่ผลปรากฏว่า โฮๆๆๆๆ ไม่ใช่เรื่องหมูเลยแต่เป็นงานใหญ่กว่าช้างเรียกได้ว่าเป็นงานแมมมอสมากกว่า นั่งวิปัสนาอย่างเดียวไม่ให้เดินจงกลม ตั้งแต่ตี 4 ถึง 3 ทุ่ม อะไรจะนั่งนานปานนั้นเราไม่เคยนั่งติดต่อกันได้เป็นชัวโมงเลย เอ๊าให้เต็มที่ ครึ่งชั่วโมงแต่นี่ 2 ชั่วโมง อย่าว่าแต่ผู้เขียนเลย ไผล่ล่ะจะทำได้ แต่สุดท้ายก็สามารถทำได้ รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมาก ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าให้นั่งเฉยโดยไม่กระดุกกระดิก ไม่เขยื้อนมือและขา เป็นเวลา 1-2 ชั่วโมงเราก็ทำได้ ไม่ได้โม้ (ทำได้ดีด้วย) เริ่มจากการทำอานาปานสติ รู้ลมหายใจเข้า/ออก รู้ที่ฐานจมูก รู้ในโพรงจมูก วันต่อมารู้เฉพาะที่ปลายจมูกตรงที่ลมกระทบเท่านั้น และรู้อย่างต่อเนื่องไปอย่างนั้น วันต่อๆมา ให้รู้ตัวทั่วพร้อม รู้ตั้งแต่หัวจดขารู้ตลอดทุกตารางนิ้งไม่ให้เล็ดลอด ซักบริเวณ ทำอยู่อย่างนี้ซำแล้วซ้ำเล่า โอโหมันช่างวิเศษจริงๆ เกิดอาการขนลุกซู๋ซ่าทั้งที่อากาศตอนนั้นร้อน ตรงบริเวณที่เจ็บปวดทรมานกลายเป็นแค่อาการเต้นตุบๆ แล้วหายไป ช่วงที่ทรมารที่สุด ช่วงแรกรู้สึกเจ็บปวดที่คอเหมือนคอจะหักให้ได้ ต่อมาเจ็บไหล่สองข้างเหมือนจะหลุดมากองที่พื้น ที่สุดๆไปเลย ขาสองข้างเจ็บปวดแทบขาดใจตายตรงนั้นเลย แต่ก็อธิฐานจิตเลยว่าขาหักตรงนี้ก็ยอมตัวเราจะไม่ผ่ายแพ้ต่อกิเลสแม้นขาจะหักหรือจะขาดใจตายตรงนี้ก็ยอม(ตายในห้องวิปัสนาได้บุญ) สุดท้ายก็ผ่านพ้นไปได้ ขณะนั้นรู้สึกแต่อาการเท่านั้นไม่เห็นว่าเรามีตัวตนมันเบาๆ รู้แต่อาการแสดงของธาตุต่างๆ พอผ่านพ้นการปฏิบัติครั้งนี้รู้สึกดีมากๆ อยากจะปฏิบัติตลอดไป และอยากมาปฏิบัติอีก ถ้าหาโอกาสเหมาะได้
ชีวิตที่ออกมาจากกระแสธรรมที่เย็นฉ่ำชื่นใจ น่าเสียดายเหลือเกิน ในรู้สึกเช่นนั้น เมื่อต้องออกมาดิ้นรนภายนอกกิเลสก็เพิ่มพูนขึ้นอีก แม้นว่าการปฏิบัติจะช่วยเผาผลาญกิเลสให้เบาบางลงได้บาง แต่ทุกๆวันก็มีการสะสมกิเลสเพิ่มเติมเข้าไปใหม่โดยรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง แล้วเมื่ใหร่ล่ะจึงจะรู้ทันกิเลสเสียที เมื่อใหร่ละเราจะหลุดพ้นจากกองทุกข์เสียที ขอให้ทุกท่านจงหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงหลุดพ้นจากความทุกข์
อนุโมทนาบุญด้วยคะอาจารย์
ตอบลบ