วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เยาวชน


          เยาวชน หรืออณาคตของชาติ ซึ่งจะเป็นผู้นำรุ่นต่อไป ดังนั้น ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมของเยาวชน จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่พวกผู้ใหญ่อย่างเรา ท่าน ต้องใส่ใจ โดยเฉพาะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ ซึ่งถือว่าเป็นครูคนแรกของลูก จึงควรเป็นแบบอย่างที่ดี และสละเวลาจากการงานเพื่ออบรมลูก ๆ ของท่าน ดังคำกลอนบทหนึ่ง  ที่กล่าวไว้ว่า
                                "เลี้งลูกด้วยอารมณ์          ลูกจะบ่มนิสัยพาล
                          เลี้ยงลูกด้วยหย่อนยาน           ลูกจะรานหย่อนวินัย
                          เลี้ยงลูกด้วยตึงเกิน                 ลูกจะเมินข้องคับใจ 
                          เลี้ยงลูกด้วยกลางไว้               ลูกจะได้แนวทางเดิน
                          เลี้ยงลูกด้วยอบรม                   ลูกจะสมสุขเจริญ
                          เลี้ยงลูกด้วยส่วนเกิน               ลูกจะเดินออกจากใจ
                          เลี้ยงลูกด้วยธรรมะ                  ลูกจะละบาปทั้งหลาย
                          เลี้ยงลูกด้วยอภัย                     ลูกจะใจนักกีฬา
                          เลี้ยงลูกด้วยลำเอียง                ลูกจะเลี่ยงกติกา  
                          เลี้ยงลูกด้วยเงินตรา                ลูกจะพานอกลู่ทาง
                          เลี้ยงลูกด้วยเหตุผล                 ลูกจะคนจิตใจกว้าง
                          เลี้ยงลูกให้ถูกทาง                    ลูกจะสร้างสิ่งดีงาม"


Website Social Network

(15)
         ถึงแม้ Facebook จะประสบความสำเร็จเป็นอันดับหนึ่งในสังคมออนไลน์ แต่ Facebook ก็ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ปัจจุบัน Facebook เติบโตขึ้นมาก เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง Facebook ยังนำหน้าคู่แข่งใน Social Network อย่างไม่เห็นฝุ่น แต่ Mark Zuckerberg ยังพยายามที่จะทำให้ Facebook เป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ แต่มีความคล่องตัวอยู่ในขณะเดียวกัน ปีที่ผ่านมา Facebook พยายามที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพ เช่น ความเร็ว และการมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องออกมาตลอด ปัจจุบัน Facebook มีพนักงานกว่า 1,200 คน พนักงานเข้าใหม่ทุกคนต้องผ่านการอบรมเป็นเวลา 6 สัปดาห์ เพื่อทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมขององค์กร...เพื่อให้พนักงานทุกคนมีจิตสำนึกของการต่อสู้อยู่ตลอดเวลาและให้พนักงานทุกคนเห็นความสำคัญของการพยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร Facebook ให้ความสำคัญกับคำว่า “Hacking” มาก ซึ่งหมายถึงการไม่กลัวที่จะทำลายสิ่งที่มีอยู่เพื่อให้ได้สิ่งใหม่ที่ดีขึ้น แนวคิดพื้นฐานของการ Hacking นั้นอยู่ที่ความมุ่งมั่น... ความทะเยอทะยานความอยากรู้อยากเห็น...และความเชื่อว่าทุกอย่างจะต้องสามารถปรับปรุงหรือพัฒนาให้ดีขึ้นได้ บุคลากรของ Facebook ถูกสอนให้มีความคิดว่าจะต้องสามารถพัฒนาหรือปรับปรุงสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้นตลอดเวลา โดยไม่สนใจว่าเป็นสิ่งที่มีมานานแค่ไหน...เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
*** เมื่อท่านอ่านบทความนี้จบ ท่านสามารถเข้าไป Add ได้ที่ http://www. facebook.com และถ้าท่านพึงพอใจรบกวนเข้าไปกด Like ได้ เช่นเดียวกัน จบ

Website Social Network

(14)
            3. หมวดมัลติมีเดีย (Multimedia) แบ่งตามกลุ่มการใช้ ดังนี้
               Photo sharing เป็น Website ที่แบ่งปันการใช้งานรูปภาพ เช่น Flickr, Zooomr, Photobucket และ SmugMug เป็นต้น
               Video sharing เป็น Website ที่แบ่งปันวิดีโอ เช่น YouTube, Vimeo และ Revver  
               Art sharing เป็น Website ที่แบ่งปันภาพศิลปะ เช่น deviantART
               Livecasting เป็น Website ที่แบ่งปันการถ่ายทอดสด เช่น Ustream.tv, Justin.tv และ Skype เป็นต้น
               Audio and Music Sharing เป็น Website ที่มีการแชร์เพลงจากสถานีวิทยุหรือดนตรี เช่น imeem, The Hype Machine, Last.fm และ ccMixter เป็นต้น
            4. หมวดรีวิวและแสดงความคิดเห็น (Reviews and Opinions) แบ่งตามกลุ่มการใช้ ดังนี้
                Product Reviews เช่น epinions.com, MouthShut.com และ Yelp.com เป็นต้น
                Q&A เช่น Yahoo Answers
            5. หมวดบันเทิง (Entertainment) ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเกมส์ แบ่งตามกลุ่มการใช้ ดังนี้
               Virtual worlds เช่น Second Life และ The Sims Online เป็นต้น
               Online gaming เช่น World of Warcraft, EverQuest, Age of Conan และ Spore (2008 video game) เป็นต้น
               Game sharing เช่น Miniclip

Website Social Network

(13) 
            “Social Media” สามารถแบ่งตามการใช้งานเป็น 5 หมวด ดังนี้ (ข้อมูลจากชุมชนปฏิบัติสถาบันคอมพิวเตอร์)
           1. หมวดการสื่อสาร (Communication) แบ่งตามกลุ่มการใช้ ดังนี้
               Blogs  เช่น  Blogger, Blognone, gotoKnow, Typepad และ WordPress เป็นต้น
               Internet forums  เช่น vBulletin และ phpBB เป็นต้น
               Micro-blogging เช่น Twitter, Plurk, Pownce และ Jaiku เป็นต้น
               Social networking เช่น Facebook, LinkedIn, MySpace, Orkut, Skyrock, Netlog, Hi5, Friendster และ Multiply เป็นต้น
               Social network aggregation เช่น FriendFeed, NutshellMail, Spokeo และ Youmeo
            2. หมวดความร่วมมือและแบ่งปัน (Collaboration) แบ่งตามกลุ่มการใช้ ดังนี้
                Wikis เช่น Wikipedia, Pbwiki และ wetpaint เป็นต้น
                Social bookmarking เช่น Delicious, StumbleUpon, Stumpedia, Google Reader และ CiteULike เป็นต้น
                Social news เช่น Digg, Mixx และ Reddit เป็นต้น
                Opinion sites เช่น epinions และ Yelp เป็นต้น

Website Social Network

(12)            อีกกระแสหนึ่งที่มาแรงในปัจจุบันคือ “Twitter” แรงทั้งในเชิงการใช้ส่วนตัว และการใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ “Twitter” เปิดตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2006 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และใช้กันในวงแคบ “Twitter” เป็น Website Social Network ประเภท Microblog ที่ผู้ใช้สามารถส่งข้อความได้ไม่เกิน 140 ตัวอักษร “Twitter” คือการติดต่อสื่อสารแบบไม่เป็นเรื่องเป็นราว เหมือนเสียงนกร้องที่จะร้องบอกต่อกันไปเรื่อยๆ หลังจากที่เราสมัครและ Add เพื่อนแล้ว หากใครที่ตามเราอยู่เวลาเราส่งข้อความ (Twit) ข้อความจะถูกส่งไปยังผู้ที่สนใจเราอย่างรวดเร็ว ส่วนการตามผู้ที่เราสนใจนั้นหากเขา “Twit” อะไรมาเราก็จะทราบเรื่องของเขา เช่น ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา Barack Obama “Twit” เรื่องใดเรื่องหนึ่งมาเราก็จะทราบก่อนใคร สำหรับประเทศไทยกระแสของ Twitter ก็แรงขึ้นเรื่อยๆ และมีสถิติผู้เข้าเล่นเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีบุคคลสำคัญระดับประเทศนำมาใช้ในการติดต่อสื่อสาร รวมทั้งนายกรัฐมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี จนกลายเป็นข่าวดัง นอกจากนี้แล้วยังมี Social Networking อื่นๆ ซึ่งเป็นที่นิยมได้แก่ Avatars United, Bebo, LinkedIn, MySpace, Orkut, Skyrock, Netlog, Friendster และ Multiply เป็นต้น โดย Websiteเหล่านี้มีผู้ใช้งานมากมาย ส่วน Social Networking ที่ทำขึ้นมาสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ คือ “BangkokSpace ในขณะที่ Orkut ก็เคยเป็นที่นิยมมากที่สุดในประเทศอินเดีย

Social Networking

(11) 
                ปัจจุบันนี้ถือเป็นยุคปลายของ Web 2.0 ซึ่งก่อนหน้านี้เราอยู่ในยุคของ Web 1.0 ที่เป็นการสื่อสารทางเดียว แต่ด้วยความที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จึงไม่พึงพอใจเพียงแค่นั้น ทำให้เกิด Website Social Network ขึ้นมากมาย ในประเทศไทยมีผู้ใช้ Facebook กว่า 5 ล้านคน มีจำนวนกว่า 9 ล้าน Accounts ซึ่งมีอัตราการเจริญเติบโตสูงมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2009 ที่มีผู้ใช้เพียง 1 ล้านคน โดยกว่าร้อยละ 50 ของผู้ใช้ Facebook เป็นเยาวชน อายุระหว่าง 14-24 ปี ส่วน Hi5 เป็น Website ที่นิยมมากที่สุดในประเทศไทย แต่ในขณะนี้เริ่มอิ่มตัว โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงาน ที่หันไปให้ความสนใจกับ Facebook มากขึ้น เพราะเงียบสงบและมีข้อจำกัดในการสมัครมากกว่า Hi5   “Hi5” เปิดตัวเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 2003 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นสังคม Online ที่ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก มีผู้ใช้งานกว่า 65 ล้านคน ทั่วโลก

Social Networking

            ในยุคที่พรมแดนมิอาจขวางกั้นการเดินทาง...เส้นแบ่งเขตเวลามิอาจกำหนดให้กลางวันทำงาน กลางคืนพักผ่อน...เส้นแบ่งชาติพันธุ์ ชนชั้น ลดลง...ผู้บริโภคในยุคนี้ได้สร้างโลกใหม่ขึ้น โลกที่สามารถข้ามพรมแดนไปที่ใดก็ได้...ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องเวลา...สามารถพูดคุยกับใครก็ได้ แม้จะอยู่คนละมุมโลก...เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส นอกจาก Social Networking อย่าง Facebook ที่เปลี่ยนวิธีการสื่อสารของคนทั่วโลกแล้ว ทุกวันนี้ยังมี Website อื่นๆ อีกมากมาย ที่ให้บริการผู้คนผ่าน Social Networking ชีวิตผู้คนในสังคม Online มีเพิ่มขึ้นทุกวัน รวมทั้งมีการใช้ “Social Media” ซึ่งผู้ใช้สามารถสื่อสาร เนื้อหา เรื่องราว ประสบการณ์ บทความ รูปภาพ และวิดีโอ ที่ทำขึ้นเอง หรือพบเจอจากสื่อต่างๆ แล้วนำมาแบ่งปันให้กับเครือข่ายของตน ผ่าน Website Social Network ที่ให้บริการ Online ผ่านทาง Internet และโทรศัพท์มือถือ ที่มีเทคโนโลยีรองรับเนื้อหา (Content) เหล่านี้

Social Networking

(9)  
           จำนวนผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ Facebook ทั่วโลกมีจำนวนทั้งหมด 517 ล้านคน
           โดยประเทศที่มีจำนวนผู้เล่น Facebook 5 อันดับแรก คือ
            อันดับ 1  สหรัฐอเมริกา มีผู้ใช้ Facebook 133 ล้านคน
            อันดับ 2  อังกฤษ มีผู้ใช้ Facebook 28 ล้านคน
            อันดับ 3  อินโดนีเซีย มีผู้ใช้ Facebook 27 ล้านคน
            อันดับ 4  ตุรกี มีผู้ใช้ Facebook 24 ล้านคน
            อันดับ 5  ฝรั่งเศส มีผู้ใช้ Facebook 19 ล้านคน
            สำหรับประเทศในเอเชียติดอันดับดังนี้
            อันดับ 7 ฟิลิปปินส์ มีผู้ใช้ Facebook 16 ล้านคน
            อันดับ 10 อินเดีย มีผู้ใช้ Facebook 13 ล้านคน
            อันดับที่ 21 ไทย มีผู้ใช้ Facebook 5.14 ล้านคน

            อันดับ 56 ญี่ปุ่น มีผู้ใช้ Facebook 1.35 ล้านคน
            อันดับที่ 162 จีน มีผู้ใช้ Facebook เพียง 24,060 คน

“The Social Network”

(8)  
            www. facebook.com ไม่ได้เป็นเทคโนโลยีใหม่เท่านั้น แต่เป็นวิศวกรรมทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงวิธีการติดต่อสื่อสารของผู้คนทั่วโลก ปัจจุบัน “Facebook” เป็นเครือข่ายสังคม Internet ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้ใช้กว่า 500 ล้านคน ทั่วโลก บริษัทมีมูลค่ากว่า 130,000 ล้านบาท “Facebook” กลายเป็นโลกใบใหม่ของมนุษยชาติ “Facebook” ได้รับความนิยมอย่างมาก และประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย รายงานล่าสุดจาก Socialbakers มีจำนวนผู้ใช้ Facebook ทั่วโลก กว่า 681, 979, 020 Accounts แสดงว่าคนทุกๆ 14 คนบนโลกจะมี 1 คน ที่มี Facebook ดังนั้น จึงมีจำนวนประชากรของประเทศ Facebook เป็นอันดับที่ 3 ของโลก รองจากประเทศจีนและอินเดีย “Zuckerberg” ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องมีคนใช้ Facebook 1,000 ล้านคน ทั้งหมดทั้งมวลนี้เขาทำตามความมุ่งมั่นที่เขา Post ใน Facebook ว่า I’m trying to make the world a more open place by helping people connect share” สำหรับในประเทศไทย มีจำนวน Account ของ facebook กว่า 9,298,000 Accounts เป็นลำดับที่ 19 ของโลก (ข้อมูลจาก Socialbakers)         
          

“The Social Network”

  (6)          วิถีของ Mark Zuckerberg” ผู้เปิดประตูเชื่อมโลกให้กลายเป็นหนึ่งเดียว เป็นการก้าวซ้ำรอยของใครหลายๆ คน ที่เห็นได้ชัดคือ “Bill Gates” รุ่นพี่จากมหาวิทยาลัย Harvard ซึ่งออกจากมหาวิทยาลัยมือเปล่าเช่นกัน มีผลงานที่คิดค้นขึ้นระหว่างเรียนเหมือนกัน และกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีของโลกเช่นเดียวกัน จากรายงานข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2010 พบว่า Mark Zuckerberg มีทรัพย์สินราว 7,060 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 211,800 ล้านบาท) ในวัยเพียง 26 ปี “Mark Zuckerberg” ใช้เวลาเพียงไม่กีปี ผลิกชะตาชีวิตของตนเองจากบุคคลที่ไม่เป็นที่รู้จัก...เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง...และทำเงินได้มหาศาล...จนกลายเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก ซึ่งจัดอันดับโดย Forbe นอกจากจะรวยเร็วแล้ว...เขายังได้รับการชื่นชมอย่างมากมาย จากการลงชื่อในปฏิณญาว่าจะเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่จะบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือสังคมในโครงการ The Giving Pledge ซึ่งก่อตั้งโดยสองอภิมหาเศรษฐีโลก Bill Gates และ Warren Buffett โดยในขณะนี้มีบุคคลและครอบครัวเศรษฐีประมาณ 57 ราย ได้ลงนามในกองทุนนี้แล้ว พร้อมกันนี้เขาได้บริจาคเงินกว่า 3,000 ล้านบาท ก่อตั้งมูลนิธิ Star up Education เพื่อพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา เขาจึงกลายเป็น ผู้ให้ ในระนาบเดียวกับอัครมหาเศรษฐีโลกอย่าง Bill Gates, Carl Icahn, Barry Diller  และ Warren Buffett นอกจากนี้ Richard Stengel ผู้อำนวยการ Time Magazine ก็ได้ชี้ขาดให้เด็กหนุ่มคนนี้เป็นบุคคลแห่งปี (Person of the Year 2010) เนื่องจากเขาเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตของผู้คนกว่า 500 ล้านคน ทั่วโลก แซงหน้าขวัญใจมหาชนอย่าง Julian Assange ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการ Website Wikileaks ที่ได้เผยแพร่เอกสารลับทางการทูตของสหรัฐอเมริกากว่า 2.5 แสนหน้า ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการทูตทั่วโลก

“The Social Network”

       (5)   Mark Elliot Zuckerberg เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 ที่ White Plains, NewYork ประเทศสหรัฐอเมริกา มารดาเป็นจิตแพทย์ ชื่อ Karen ส่วนบิดาเป็นทันตแพทย์ชื่อ Edward ขณะที่ Zuckerberg มีอายุ 19 ปี และกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย Harvard เขาเริ่มโครงการ Facebook ที่หอพักของมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 เครือข่ายของเขาเริ่มต้นจากนักศึกษาที่ Harvard ต่อไปยัง Stanford, Dartmouth, Columbia, New York University, Cornell, Brown and Yale เพื่อเป็นกลุ่มสังคมในการติดต่อสื่อสารกัน หลังจากเปิดตัวได้ 4 เดือน Facebook มีมหาวิทยาลัยเข้าร่วมถึง 30 มหาลัยทั่วอเมริกา ต่อมาในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2006 Facebook ได้ขยายมาให้บริการสำหรับผู้ใช้ทั่วไปเหมือนเช่นในปัจจุบัน และในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 2007 Facebook ได้พัฒนาตัวเองให้เป็น “Platform Application” ที่เปิดให้นักพัฒนาทั้งหลายสามารถพัฒนา Application ของตัวเองแล้วนำมาใช้บน Website Facebook ได้ ในเวลาเพียงแค่ 1 สัปดาห์ เท่านั้น ก็มีผู้ใช้เป็นล้านคน Zuckerberg เลือกที่จะเดินตามรอย Bill Gates รุ่นพี่ที่ Harvard แน่นอนเขาเลือกที่จะก่อตั้ง www. facebook.com แทนใบปริญญา เขาออกจากมหาวิทยาลัยตอนอยู่ปีสอง เพื่อเดินตามความฝันของตัวเอง

“The Social Network”

       (5)   Mark Elliot Zuckerberg เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 ที่ White Plains, NewYork ประเทศสหรัฐอเมริกา มารดาเป็นจิตแพทย์ ชื่อ Karen ส่วนบิดาเป็นทันตแพทย์ชื่อ Edward ขณะที่ Zuckerberg มีอายุ 19 ปี และกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย Harvard เขาเริ่มโครงการ Facebook ที่หอพักของมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 เครือข่ายของเขาเริ่มต้นจากนักศึกษาที่ Harvard ต่อไปยัง Stanford, Dartmouth, Columbia, New York University, Cornell, Brown and Yale เพื่อเป็นกลุ่มสังคมในการติดต่อสื่อสารกัน หลังจากเปิดตัวได้ 4 เดือน Facebook มีมหาวิทยาลัยเข้าร่วมถึง 30 มหาลัยทั่วอเมริกา ต่อมาในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2006 Facebook ได้ขยายมาให้บริการสำหรับผู้ใช้ทั่วไปเหมือนเช่นในปัจจุบัน และในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 2007 Facebook ได้พัฒนาตัวเองให้เป็น “Platform Application” ที่เปิดให้นักพัฒนาทั้งหลายสามารถพัฒนา Application ของตัวเองแล้วนำมาใช้บน Website Facebook ได้ ในเวลาเพียงแค่ 1 สัปดาห์ เท่านั้น ก็มีผู้ใช้เป็นล้านคน Zuckerberg เลือกที่จะเดินตามรอย Bill Gates รุ่นพี่ที่ Harvard แน่นอนเขาเลือกที่จะก่อตั้ง www. facebook.com แทนใบปริญญา เขาออกจากมหาวิทยาลัยตอนอยู่ปีสอง เพื่อเดินตามความฝันของตัวเอง

“The Social Network”

       (5)   Mark Elliot Zuckerberg เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 ที่ White Plains, NewYork ประเทศสหรัฐอเมริกา มารดาเป็นจิตแพทย์ ชื่อ Karen ส่วนบิดาเป็นทันตแพทย์ชื่อ Edward ขณะที่ Zuckerberg มีอายุ 19 ปี และกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย Harvard เขาเริ่มโครงการ Facebook ที่หอพักของมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 เครือข่ายของเขาเริ่มต้นจากนักศึกษาที่ Harvard ต่อไปยัง Stanford, Dartmouth, Columbia, New York University, Cornell, Brown and Yale เพื่อเป็นกลุ่มสังคมในการติดต่อสื่อสารกัน หลังจากเปิดตัวได้ 4 เดือน Facebook มีมหาวิทยาลัยเข้าร่วมถึง 30 มหาลัยทั่วอเมริกา ต่อมาในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2006 Facebook ได้ขยายมาให้บริการสำหรับผู้ใช้ทั่วไปเหมือนเช่นในปัจจุบัน และในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 2007 Facebook ได้พัฒนาตัวเองให้เป็น “Platform Application” ที่เปิดให้นักพัฒนาทั้งหลายสามารถพัฒนา Application ของตัวเองแล้วนำมาใช้บน Website Facebook ได้ ในเวลาเพียงแค่ 1 สัปดาห์ เท่านั้น ก็มีผู้ใช้เป็นล้านคน Zuckerberg เลือกที่จะเดินตามรอย Bill Gates รุ่นพี่ที่ Harvard แน่นอนเขาเลือกที่จะก่อตั้ง www. facebook.com แทนใบปริญญา เขาออกจากมหาวิทยาลัยตอนอยู่ปีสอง เพื่อเดินตามความฝันของตัวเอง

“The Social Network”

(4)       Eduardo Saverin และ Mark Elliot Zuckerberg ทั้งสองเป็นหนุ่มน้อยเพื่อนซี้จากรั้ว Harvard ผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook ซึ่งต่อมาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้เกิดรอยแตกร้าวขึ้น ในโลกอันยุ่งเหยิงของทุนนิยม ซึ่งยึดถือผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง (กฎหมาย...เงินทอง...และชื่อเสียง)
           Mark Elliot Zuckerberg CEO หนุ่มของ Facebook ผู้ถือครองหุ้นของ www. facebook.com ประมาณ 1 ใน 4 ของหุ้นทั้งหมด เขาได้นำโลกแห่งความเป็นจริงไปวางไว้บน Cyberspace ชนิดที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน Zuckerberg คิด Facebook มาได้อย่างไร?...เราไม่อาจรู้ได้...แต่ Facebook ของเขานำความเป็นเพื่อนมาใช้ประโยชน์ทางพาณิชน์อย่างเด่นชัด “Facebook” ไม่ได้ทำลายโลกแห่งความเป็นจริง แต่เป็นส่วนขยายเพิ่มเติมจากความเป็นจริง ซึ่งเอื้ออำนวยให้เกิดพัฒนาการของการปฏิสัมพันธ์ในโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น “Facebook” จึงเป็น Website เครือข่ายสังคมที่ปฏิวัติการสื่อสารของโลก เป็นเครื่องมือให้คนสองคน และคนอีกหลายๆ คน เป็นเพื่อนกันได้ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันได้ทุกที่ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง เท่าที่ต้องการ เพราะ Zuckerberg รู้ดีว่าคนทุกคนให้ความสำคัญกับ ความเป็นเพื่อน และ มิตรภาพ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของ Facebook ตั้งแต่เริ่มต้นมาจนถึงทุกวันนี้

“The Social Network”

หลายๆ ท่านคงจะเคยได้ดูภาพยนต์เรื่อง “The Social Network” ซึ่งเขียนบทโดย Aaron Sorkin ดัดแปลงมาจากหนังสือ “The Accidental Billionaires” ในปี ค.ศ. 2009 ของผู้เขียน Ben Mezrich เป็นภาพยนต์เกี่ยวกับผู้ก่อตั้ง Facebook ทว่ามันไม่ใช่ภาพยนต์อัตถชีวประวัติ แต่เป็น Drama ชิงไหวชิงพริบกันในเชิงธุรกิจ และความพยายามที่จะทำให้ตนเองได้ในสิ่งที่ต้องการ ใจความหลักของภาพยนต์เรื่องนี้คือ มิตรภาพ  Social Network ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter หรือ Hi5 ล้วนมีใจความหลักๆ คือ คำว่า เพื่อน ทุกๆ ครั้งที่เรารับ Add ใคร...มันคือการวัดพื้นฐานจิตใจของเราทางอ้อมว่า...เราพร้อมจะรู้จักคนแปลกหน้าไหม?... หรือยินดีจะหยิบยื่นมิตรภาพให้คนอื่นก่อนหรือเปล่า?...เมื่อมีใครบ่นอะไรขึ้นมาบน Home ของเรา เราจะทำเพียงอ่านผ่านๆ หรือลงไปพูดกับเขา แสดงความเห็นต่อความคิดของเขา...และเชื่อเถอะว่าหลายครั้งที่มิตรภาพก็ร้าวฉานได้เพราะ Social Network นี่แหละ ซึ่งภาพยนต์เรื่อง “The Social Network” ได้แสดงให้เห็นว่า เราทุกคนล้วนเจอปัญหาเรื่องมิตรภาพทั้งนั้น...แม้แต่คนสร้าง Facebook เองก็ตาม และสิ่งที่ชวนสะท้อนใจอย่างยิ่งก็คือ...ในขณะที่ Facebook ประสบความสำเร็จในการเชื่อมโยงผู้คนทั่วทุกมุมโลกเข้าหากัน...แต่กลับทำให้ความสัมพันธ์ของผู้ก่อตั้งทั้งสองต้องแตกสลายไปในที่สุด
คุณจะหาทางทำให้เรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม หรือ คุณจะเปลี่ยนเพื่อนเป็นศัตรู

“The Social Network”

บทความที่เขียนในปี 2011 ตอนแรก
“The  Social  Network”
            ทุกวันนี้คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า Facebook เป็น Social Network ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกไซเบอร์ (Cyberworlds) จึงอยากจะเชิญชวนท่านผู้อ่านมารู้จัก Facebook ในฐานะที่เป็นบริษัทที่ได้รับการยกย่องให้เป็นบริษัทที่มีสุดยอดนวัตกรรมของโลกประจำปี ค.ศ. 2010 (The World’s Most Innovative Company) โดยนิตยสาร Fast Company ซึ่งเป็นนิตยสารธุรกิจที่เน้นในเรื่องของนวัตกรรมและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ Facebook” สามารถแซงหน้าบริษัทชั้นนำอื่นๆ ที่เราคุ้นเคยอย่าง Google, Apple, Microsoft โดย 5 อันดับแรกของโพลล์ ได้แก่  1) Facebook  2) Amazon 3) Apple 4) Googel 5) Huawei

BMI

    (ตอนจบ)
      Apple Inc. เป็นบริษัทที่นำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้กับผลิตภัณฑ์ของตนโดยตลอด ซึ่งนวัตกร (Innovator) ของ Apple ได้กล่าวไว้ว่า พวกเขาให้ความสำคัญกับการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ (Innovation) เพื่อทำให้สินค้าสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน และเป็นที่ต้องการของตลาดปรากฏการณ์ที่ Apple ใช้ในการผลักดันสินค้าออกสู่ตลาด โดยแทนที่จะผลิตสินค้าตามที่ตลาดต้องการ แต่ Apple กลับสร้างความต้องการนั้นขึ้นมาในตลาด จึงถือว่า Apple เป็นผู้ผลิตสินค้านวัตกรรมใหม่ที่ชาญฉลาด Apple จึงเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง Apple Inc. ได้รับเลือกให้เป็น บริษัทที่ได้รับการยกย่องสูงสุด (World’s Most Admired Companies)” ประจำปี 2011 จากนิตยสาร Fortune เป็นบริษัทที่ได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด ติดต่อกันเป็นปีที่สี่ และ Apple ยังเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดอันดับที่ 2 รองจาก Exxon Mobil นอกจากนี้ นิตยสาร Brand ยังจัดอันดับให้ Apple เป็นเครื่องหมายการค้าที่ทรงคุณค่าสูงสุด อยู่ที่กว่า 153,000 ล้านดอลล่าร์ โค่นแชมป์เก่าอย่าง Google ไป โดยขณะนี้มูลค่าของ Apple ในตลาดหุ้นอยู่ที่ 319,400 ล้านดอลล่าร์ ความสำเร็จของ Apple Inc. สะท้อนให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ของ Apple ไม่เพียงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ยังถูกจับตาจากคู่แข่ง และเป็นบริษัทที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตลาดอีกด้วย Apple Inc. จึงถือเป็นตัวอย่างในการสร้างสรรค์ Business Model Innovation (BMI) ที่นำไปสู่การสร้างตลาดใหม่ ลูกค้าใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในอุตสาหกรรม  
๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏
- งานหลักของ Apple Inc. คือการสรรหาคนที่เก่งที่สุดมาร่วมงาน

BMI

5/2 (ต่อ)
            Apple สรุปรายงานผลประกอบการปีที่แล้วอย่างเป็นทางการในงาน Apple Financial Results Apple เปิดเผยว่าบริษัทมียอดขาย iPhone รวม 108 ล้านเครื่อง, iPod touch 60 ล้านเครื่อง, iPad 19 ล้านเครื่อง บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,990 ล้านดอลล่าร์ และในระหว่างวันที่ 1 มกราคม- 26 มีนาคม ค.ศ. 2011 นี้ บริษัทมียอดขาย iPhone แล้ว 18.65 ล้านเครื่อง iPod 9.02 ล้านเครื่อง iPad 4.69 ล้านเครื่อง และ Mac 3.76 ล้านเครื่อง มีรายได้รวม $24.67 พันล้านเหรียญ กำไร $5.99 พันล้านเหรียญ โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น 83% กำไรเพิ่มขึ้น 93% และผู้ถือหุ้นได้รับเงินปันผล $6.4 ต่อหุ้น เพิ่มขึ้นถึง 92%

BMI

5/1 (ต่อ)
                 Graphic ของ iPad 2 ยังเร็วขึ้น 9 เท่าจากของเดิม จึงส่งผลให้การเล่นเกมส์ การดูรูป และตัดต่อภาพยนต์ รวมทั้งการต่อ HDMI สามารถทำได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน กล้องด้านหน้ามีความละเอียดระดับ VGA กล้องหลังระดับ HD 720 นั้น ยังมาพร้อมกับ Sensor วัดแสงที่สามารถทำให้ถ่ายภาพได้แม้ในที่มีความสว่างน้อยแค่แสงเทียน และเป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานได้ดีมากสำหรับ Tele-conference
             นับตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้วที่ Apple เปิดตัว iPad รุ่นแรก และสามารถทำยอดขายถล่มทลาย จนกลายเป็น Tablet  ที่ขายดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ สร้างตลาดใหม่มูลค่าสูงถึง 9,600 ล้านดอลลาร์ บรรดาผู้ผลิตทั้งหลายต่างทยอยกันเปิดตัว Tablet ออกมาเป็นทิวแถว ตลาด Tablet PCs กลายเป็นตลาดที่แข่งขันกันดุเดือดที่สุด นอกจาก iPad ที่เป็นเจ้าตลาดแล้ว ยังมีคู่แข่งมากหน้าหลายตา เช่น Acer Iconia Tab A500, HP Touch Pad, Sony Honeycomb, Samsung Galaxy Tab, LG G-Slate, Motorola Xoom และ BlackBerry PlayBook เป็นต้น และแน่นอนว่า iPad ยังคงเป็นเจ้าตลาดเหมือนเดิม และในอีก 2-3 ปี ข้างหน้าก็ยังคงเป็นเช่นนั้น แม้จะมีอีกหลายรายโพล่เข้ามาแจม

BMI

                5 (ต่อ)    ในไตรมาสที่ 2 ปี 2010 และปีนี้ iPhone ทำยอดขายโตขึ้นถึง 113% เลยทีเดียว ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (ธันวาคม 2010 – มีนาคม 2011)  Apple ทำเงินไปถึง $24,600 ล้านเหรียญ  ในจำนวนนี้เป็นของ iPhone ถึง 50% ครึ่งหนึ่งจากยอดขายของ Apple ทั้งหมด ซึ่งมีจำนวนถึง 18.65 ล้านเครื่องในไตรมาสสุดท้ายนี้ ซึ่งเท่ากับยอดขาย $12,300 ล้านเหรียญ ในจำนวนนี้รวมถึงสินค้าและบริการที่เกี่ยวเนื่องด้วย เช่น รายได้จากข้อตกลงผู้ให้บริการสัญญาณ, บริการต่างๆ และอุปกรณ์เสริม ถ้าย้อนกลับไปดูตัวเลขเก่าๆ จะเห็นว่า iPhone ทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ  จึงไม่น่าแปลกใจที่ Apple จะออกมาหวงสิทธิบัตรต่างๆ             ปรากฎการณ์ที่คนแห่แหนกันต่อคิวซื้อ iPad2 รุ่นใหม่ สะท้อนให้เห็นถึงกระแสความคลั่งไคล้อย่างจริงจังของผู้บริโภค ในการซื้อสินค้าราคาหลักหมื่น ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องปกตินักที่ผู้บริโภคยังต้องเข้าแถวรอรับบัตรคิว นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้ Surprise ก็คือ Steve Jobs ยังคงมา Present iPad2 ด้วยตนเอง และอาการป่วยของเขาก็ดูดีขึ้น ผิดจากข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้  iPad2 ออกวางจำหน่ายในวันที่ 11 มีนาคม นี้ น้ำหนักของ iPad 2 ลดลงจาก 750 g เหลือ 590 g แต่ที่ Amazing น่าจะเป็นความบาง iPad 2 ใช้ Dual-core A5 CPU ซึ่งทำให้สามารถทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกันได้ Smooth ขึ้น

BMI

4/5  (ต่อ)      การทำงานของโทรศัพท์ iPhone จะแตกต่างจากโทรศัพท์มือถืออื่นๆ โดย iPhone จะไม่มีปุ่มสำหรับกดหมายเลขโทรศัพท์ การทำงานทั้งหมดจะทำงานผ่านหน้าจอโดยการสัมผัส Multitouch (ใช้ได้แต่นิ้วมือเท่านั้น) ระบบปฏิบัติการหลัก Mac-OSN และมีระบบเซ็นเซอร์ในการรับรู้สภาพของเครื่อง เช่น ถ้าวางเครื่องในแนวตั้งระบบก็จะแสดงผลในแนวตั้ง ถ้าวางเครื่องในแนวนอนก็จะแสดงผลในแนวนอน iPhone 4 ยังคุณสมบัติต่างๆ อีกมากมาย เช่น iPhone 3GS มีความหนา 12.3 มม. ขณะที่ iPhone 4 หนาเพียง 9.3 มม. เท่านั้น กระจกหน้าจอใช้วัสดุที่มีความแข็งเป็นพิเศษและเคลือบผิวกันแสงสะท้อนและรอยนิ้วมือ พร้อมกล้องหน้า -หลัง ที่มีความละเอียดสูงถึง 5 ล้านพิกเซล (Pixels) กล้องด้านหน้าใช้กับฟังก์ชัน Facetime โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย กล้องหลักซึ่งอยู่ด้านหลังสามารถถ่าย VDO แบบ HD ที่มีความละเอียดสูง ส่วนเซ็นเซอร์รับภาพ (CMOS) ได้รับการพัฒนาใหม่ให้มีความละเอียด คมชัด สีสันสดใสขึ้น และยังแก้ปัญหาการถ่ายภาพในที่มีแสงน้อยด้วยการใส่แฟลซแบบ LED รวมถึงเสริมด้วยเทคโนโลยี ISP ที่ช่วยให้สีสันสวยสมจริงอย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย และจอภาพแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้น ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญของ iPhone 4 ที่เรียกว่า “Retina Display” ขนาด 3.5 นิ้วซึ่งมีความละเอียดสูงกว่าเดิมถึง 4 เท่า เป็นต้น          

BMI

            4/4 (ต่อ) Apple สร้างความฮือฮาอีกครั้งจากการเปิดตัว iPhone รุ่นแรกโดย Steve Jobs ในงานMacworld เมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 2008 จากการออกแบบที่เรียบ หรู ทันสมัย และการใช้งานด้วยระบบ Multitasking iPhone วางจำหน่ายครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2008 iPhone ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ยอดเยี่ยมประจำปีจากนิตยสารไทม์ ประจำปี 2008 โดยมีรุ่นถัดมาคือ iPhone 3G, iPhone 3GS และรุ่นล่าสุด iPhone  4 ซึ่งได้เปิดตัวในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2010 iPhone ได้ปลุกกระแสการใช้ Smartphone ขึ้นในหมู่ผู้บริโภค จนกลายเป็น Trendy และเข้ามาแทนที่โทรศัพท์มือถือแบบเดิม  Strategy Analytics Inc. บริษัทวิจัยตลาด เปิดเผยว่ารายได้จาก iPhone แซงหน้ารายได้จากการขายโทรศัพท์ของ Nokia จึงทำให้ Apple กลายเป็นบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ที่สุดในโลกไปแล้ว จนทำให้บริษัทต่างๆ มากหน้าหลายตาอยากเข้ามาแบ่งส่วนตลาด Smartphone  ยกตัวอย่างเช่น Black Berry, HTC Windows Phone, Samsung, LG, Sony Ericsson, Motorola และ Nokia เป็นต้น แต่จนถึงทุกวันนี้อุตสาหกรรม Smartphones ทั่วโลกยังคงเห็นว่า iPhone 4 เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในตลาด ทั้งในแง่ Hardware, Software และ Application ผู้บริโภคที่ใช้เทคโนโลยีจะเป็นตัวกระตุ้นยอดขาย Smartphone ในตลาดโลกให้เติบโตขึ้น จนทำให้ผู้ผลิตที่ยังคงใช้เทคโนโลยีแบบเดิมต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างอย่างหนัก นอกจากนี้ กระแสฮิตโทรศัพท์มือถือ Smartphone  ยังช่วยให้ผู้ประกอบการโทรคมนาคมต่างๆ มีรายได้เพิ่มมากขึ้น จากการให้บริการรับส่งข้อมูลรูปแบบต่างๆ อาทิ บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตบนมือถือ (Mobile Internet) และ Email เป็นต้น หลังจากที่ธุรกิจการให้บริการเสียงต้องเผชิญการแข่งขันในตลาดอย่างหนัก

BMI

           4/3 (ต่อ) ในปี ค.ศ. 2003 iPod มียอดขาย 939,000 เครื่อง ปี ค.ศ. 2004 จำนวน 4,416,000  เครื่อง ปี ค.ศ. 2005 จำนวน 22,497,000 เครื่อง ปี ค.ศ. 2006 มียอดขายมากกว่า 30 ล้านเครื่อง และในปี ค.ศ. 2007 iPod ก็สามารถทำยอดขายทะลุ 100 ล้านเครื่องได้สำเร็จ นอกจากนี้ คนที่ใช้ iPod ก็มีแนวโน้มจะใช้ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Apple ในอณาคต จึงถือได้ว่า iPod และ iTunes เป็นคู่แฝดอภินิหารแห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งเขย่าวงการ Consumer Electronic กลายเป็นบ่อเกิดรายได้ และสร้างผลกำไรให้แก่ Apple Inc. ด้วยการสร้างสรรค์ Business Model Innovation” ของ Steve Jobs โดยแท้ 
            iMac Apple Computer เป็นนวัตกรรมการออกแบบที่สร้างสรรค์ และทันสมัย สมกับที่เป็น Design Thinking and Innovation at Apple รวมทั้งมีนวัตกรรมเป็นพันๆ อย่าง ในเครื่องของ Mac เพียงแค่นิ้วสัมผัสก็สามารถคำนวณน้ำหนักได้ iMac ทำให้ Apple ประสบความสำเร็จมากที่สุดจากการจำลองเอาความหรูหรามาใช้ประโยชน์ในการเพิ่มมูลค่าสินค้า และตอบโจทย์ของผู้บริโภค จึงถือเป็นบริษัทที่เป็นผู้นำในเรื่อง “Business Model Innovation” กว่า 10 ปี ที่ Steve Jobs เคยกล่าวไว้ว่าจะให้ Apple เข้าไปอยู่ในห้องทุกๆ ห้องของบ้าน ใกล้จะเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว เพราะทุกวันนี้ Apple ไม่เพียงอยู่ในใจของลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Apple เท่านั้น แต่ยังเป็นที่กล่าวขวัญถึงของผู้คนในทุกมุมโลกอีกด้วย นอกจากนี้ Apple ยังทำให้ตลาดตื่นตัวในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้ามาแข่งขันในอุตสาหกรรม
(ต่อ) 4/2
                   ณ วันที่ iPod ออกวางตลาด ใครเลยจะคิดว่ามันจะขายดีอย่างเป็นประวัติการณ์ขนาดนี้ ความสำเร็จของมันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่ออณาคตของ Apple ทุกวันนี้ Apple Inc. เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคทั่วโลก และเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมที่ผู้ผลิตรายอื่นๆ พยายามจะลอกเลียนแบบทั้งด้านTechnology และ Design iPod รุ่นแรกเปิดตัวเมื่อปีค.ศ. 2001 นอกจากนวัตกรรมด้านDesign ที่แตกต่างแต่เรียบง่ายสวยงามต้องตาต้องใจแก่ผู้พบเห็นแล้ว ยังมี Technology ที่โดดเด่นเหนือชั้นกว่าเครื่องเล่น MP3 อื่นๆ อีกมากมาย ตลอดจนสร้างความตื่นตะลึงด้วยหน่วยความจำ 5 และ 10 GB เช่นเดียวกับการเปิดตัวของ iPod 4 ที่สร้างความตื่นตะลึงด้วยหน่วยความจำ 20, 30, 40 และ 60 GB ส่วนรุ่นที่ 7 เป็นเจ็นเนอเรชั่นสุดท้ายที่มีความจุสูงถึง 160 GB จุเพลงได้ 40,000 เพลงเลยทีเดียว มีการพัฒนารูปร่างให้แบนบางเบากว่ารุ่นก่อนๆ และความสามารถของฮาร์ดดิสซึ่งเก็บไฟล์ภาพที่พร้อมนำไปใช้เมื่อซิงค์เข้ากับคอมพิวเตอร์ สามารถดู TV ดูหนัง รวมทั้งเล่นเกมผ่านทาง iTune ได้อีกด้วย  
4/1 (ต่อ) 
            ในยุคปัจจุบันนี้เราถือว่าเป็นแทรนด์ของ Innovation ในแบบ Open-Source, Open-Market, Collaborative Community-Design ซึ่งมุ่งเน้นให้ทุกๆ คนมีส่วนร่วมในการพัฒนาสินค้าและบริการ แต่ Apple กลับปิดทุกอย่างเป็นความลับ และไม่สนใจที่จะ Open-Source หรือ Collaborative Innovation ในการพัฒนาสินค้าและบริการของตนเอง Apple พยายามอย่างยิ่งที่จะปกปิดข่าวต่างๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท รวมทั้งการทำให้ระบบของ Apple เป็นระบบปิด ยกตัวอย่างเช่น iPhone ซึ่งมีการวิจัยและพัฒนาภายในบริษัทและพยายามเก็บข้อมูลทุกอย่างเป็นความลับสุดยอด ถือว่าสวนกระแสกับโลกยุคปัจจุบัน        
            การพัฒนาทั้งซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ของ Apple จากภายในนั้น สร้างความแตกต่าง และทำให้สินค้ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นเหนือคู่แข่ง โดยในขณะที่ผู้ผลิตรายอื่นๆ พยายามที่จะยัดเยียดคุณสมบัติพิเศษต่างๆ เข้าไปในตัวสินค้า แต่ Apple กลับพยายามตัดหรือลดคุณสมบัติต่างๆ ที่ไม่จำเป็นลง ซึ่ง Steve Jobs เคยกล่าวไว้ว่าสำหรับ Apple แล้ว “We make progress by eliminating things”